โฆษณา

STEM Education ด้วย Social Media by kruweerachat

Sunday, August 12, 2012

Social Media และ Social Network บนแนวคิดปรัชญาการศึกษาสาขาอัตถิภาวนิยม หรืออัตนิยม หรือสวภาพนิยม (Existentialism)

สวัสดีครับ วันนี้กลับมาถึงเรื่องการสร้างการเรียนการสอนใน Social Media  กันต่ออีกสักบทความครับ หลังจากที่ผมได้ศึกษาการใช้  Social Media และ Social Network เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับบริบททางการศึกษา เพื่อให้สามารถจัดการเรียนการสอนโดยใช้  Social Media และ Social Network ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งผมสืบค้นและเจอคำที่สดุดใจชวนอ่านอยู่หนึ่งประโยค "On demand Learning" หรือ  การศึกษาตามประสงค์ (Education on Demand)  สนใจเรื่องไหนก็ศึกษาเรื่องนั้น ชอบเรื่องไหนก็ศึกษาเรื่องนั้น นั่นก็หมายความว่า นักเรียนในยุคนี้สามารถเข้าถึงการเรียนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ( Any one  Any where  and Any time) หลายๆคนคงทอดจินตนาการออกไปไกลแสนไกล แต่สำหรับในด้านปรัชญาการศึกษา คงเป็นตำนานบอกกล่าวเล่าต่อกันมานานนับพันปี  ตามหลักของปรัชญา  ปรัชญาสาขาอัตถิภาวนิยม หรืออัตนิยม หรือสวภาพนิยม (Existentialism) ปรัชญานี้เกิดจากทัศนะเคอการ์ด(Soren Kierkegard) และสาตร์ (Jean Paul Sartre) ปรัชญานี้ให้ความสนใจที่ตัวบุคคล หรือความเป็นอยู่ มีอยู่ของมนุษย์ ซึ่งมักถูกละเลย ซึ่งพวกเขามีความคิดเห็นว่าสภาวะโลกปัจจุบันนี้มีสรรพสิ่งทางเลือกมากมายเกินความสามารถที่มนุษย์เราจะเรียนรู้ จะศึกษา และจะมีประสบการณ์ได้ทั่วถึง ฉะนั้นมนุษย์เราควรจะมีสิทธิ์หรือโอกาสที่จะเลือกสรรพสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวของตัวเองมากกว่าที่จะให้ใครมาป้อนหรือมอบให้ จากแนวความคิดดังกล่าว พวกอัตถิภาวนิยมจึงมีความเชื่อว่าเป้าหมายของสังคมนั้นต้องมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้คนเรามีอิสรภาพ และมีความรับผิดชอบ และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราพยายามเปิดโอกาสหรือยอมให้ผู้เรียนมีสิทธิเสรีภาพที่จะเป็นผู้เลือกเอง ครูเป็นเพียงผู้กระตุ้น และปรัชญานี้มีความเชื่อว่า ธรรมชาติของคนก็ดี สภาพแวดล้อมทางสังคมก็ดีเป็นสิ่งที่ไม่ตายตัว คนแต่ละคนสามารถกำหนดชีวิตของตนเองได้ เพราะมีอิสระในการเลือกทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่คงที่แต่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพราะเชื่อว่าความจริง (Truth) เป็นเรื่องนามธรรมที่ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปให้ สาระความจริงก็คือ ความมีอยู่เป็นอยู่ของมนุษย์ (existence) ซึ่งมนุษย์แต่ละคนจะต้องกำหนดหรือแสวงหาสาระสำคัญ (essence) ด้วยตนเอง โดยการเผชิญกับสถานการณ์ที่เรียกว่า “existential situation” ซึ่งบุคคลแต่ละคนมีเสรีภาพที่จะเลือกและตัดสินใจด้วยตนเอง 


             ผมลองมองย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่เรียนเกี่ยวกับ Philosophy of Education คือเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วโดยหลักสูตร ป บัณฑิต  และเมื่อซัมเมอร์ที่แล้วกับหลักสูตรบริหารการศึกษามหาบัณฑิต และกับปัจจุบันที่นั่งบ่นเรื่องของของ Social Media และ Social Network  นั่งรวมข้อมูลไปๆมาๆเชื่อมโยงเข้าสู่เรื่องของปรัชญา พึ่งได้รู้ว่าการใช้ Social Media และ Social Network นั้นตอบโจทย์ในเรื่องของปรัชญาการศึกษาด้วยเช่นกัน สำหรับผม จัดให้ Social Media และ Social Network อยู่ในปรัชญาการศึกษา สาขาอัตถิภาวนิยม หรืออัตนิยม หรือสวภาพนิยม (Existentialism)   หลังจากที่ได้ศึกษามาสักระยะก็เริ่มกระจ่างแจ้งและกับไปมึนงงอีกรอบ แต่ก็คงต้องอ่านต่อแหละครับ ไม่มีทางเลือกอื่่นที่ง่ายกว่านี้



บทความด้านล่างนี้น่าสนใจมากครับ





ในการบริหารจัดการการเรียนรู้ในองค์กร เราสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเรียนรู้ (Learning Strategy) ที่เราเลือกใช้ ซึ่งจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและเป้าหมายในการเรียนรู้ขององค์กร
โดยรูปแบบการเรียนรู้ที่บอกว่ามีอยู่หลากหลายรูปแบบนั้น จะมีแบบใดบ้าง ไปดูได้จากแผนภาพสรุปข้างล่างนี้เลยครับ
Live vs On Demand Learningโดยการแบ่งรูปแบบการเรียนรู้นั้นเราสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบใหญ่ ได้แก่
1. แบบ Live (หรือที่เรียกว่า Synchronous Learning) โดยในรูปแบบแบบนี้ ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือว่า กิจกรรมเรียนรู้ที่เกิดจากทั้ง 2 ฝั่ง (ฝั่งคนสอนกับฝั่งคนเรียน) จะต้องถูกดำเนินการ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ไปพร้อม ๆ กัน ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนก็คือการจัดการเรียนการสอนแบบดั้งเดิม (Face to Face Classroom) ที่เราจะเห็นว่ากิจกกรรมการเรียนรู้จะเกิดขึ้นในห้องเรียน ซึ่งต้องมีการกำหนดเรื่องของตารางเรียน หรือเวลาเรียน ที่ให้ทั้งคนสอนกับคนเรียนได้มีโอกาสมาเจอกัน ดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน
โดยในรูปแบบแบบนี้ผู้สอนมักจะทำหน้าที่ของ “คนสอน” อย่างเต็มรูปแบบ
2. แบบ On Demand (หรือที่เรียกว่า Asynchronous Learning) ซึ่งเป็นแบบที่ตรงข้ามกับแบบแรกอย่างสิ้นเชิง โดยที่เราไม่ต้องมีการกำหนดเวลาที่แน่นอน ที่ให้ผู้เรียนหรือผู้สอนมาเจอกัน คนเรียนสามารถเลือกเวลาที่สะดวก หรือสามารถเลือกได้ว่าต้องการจะเข้าไปเรียนรู้ในเนื้อหานั้นเมื่อไหร่ อาจจะเข้าไปค้นหาข้อมูล หรือเลือกเรียนเฉพาะหัวข้อที่ตัวเองสนใจ หรือเข้าไปหาเฉพาะข้อมูลเพื่อช่วยในการแก้ปัญหาในการทำงานก็ได้
โดยในรูปแบบนี้ผู้สอนมักจะทำหน้าที่ของ “คนอำนวนความสะดวกการเรียนรู้” ให้กับผู้เรียน เช่นช่วยในการตอบคำถาม ช่วยในการ Guide ข้อมูล ช่วยในการประสานงาน เป็นต้น
ในแผนภาพข้างบนดังกล่าว ได้จัดเรียงรูปแบบการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ทางซ้ายสุด ที่เป็นแบบ Synchronous Learning อย่างสุดขั้ว และก็ลดระดับลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไปถึงทางฝั่งขวาสุด ที่เป็นแบบ Asynchronous Learning อย่างเต็มที่
โดยรูปแบบการเรียนรู้ในแต่ละแบบมีรายละเอียดดังนี้ครับ
  • แบบ Face to Face Classroom: แบบนี้เป็นแบบการจัดการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมเลยครับ ที่เรามีห้องเรียน หรือห้องฝึกอบรม และก็มีคนสอน (อาจารย์ หรือ วิทยากร) และก็มีคนเรียน หรือ ผู้เข้าร่วมการอบรม โดยในแบบนี้ อาจจะจัดเป็น Field Trips คล้าย ๆ กับไปเข้าค่ายอบรมด้วยกัน หรือการทำ Lab ด้วยกันก็ได้ครับ
  • แบบ Live Online: โดยทำการเปลี่ยนจากรูปแบบการเรียนการสอนแบบเจอหน้ากันจริง ๆ มาเป็นแบบเจอกันแบบออนไลน์ (เจอกันบน Internet) รูปแบบแบบนี้ สามารถจัดได้โดยการทำ Virtual Classroom หรือ Webinar (การจัดสัมมนา หรือทำ Presentation ให้คนฟังเยอะ ๆ ผ่านหน้า Web Site)
  • แบบ Coaching: ในแบบนี้จะเน้นการสอนควบคู่ไปกับการทำงานจริง ๆ เช่นการสอนพนักงานใหม่ที่หน้างาน อาจจะเป็นหัวหน้าสอนลูกน้องใหม่โดยตรง (Coaching) หรือเป็นแบบที่พนักงานรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์สอนพนักงานรุ่นน้อง (Mentoring) ก็ได้
  • แบบ Collaboration & Community: เป็นแบบที่เน้นการเรียนรู้จากการมีส่วนร่วมของคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์คนอื่น เรียนรู้จากคนที่เก่งกว่า การแบ่งปัน การแชร์ข้อมูลให้กัน ฯลฯ โดยในรูปแบบแบบนี้เราสามารถทำได้ในหลากหลายรูปแบบเช่น
    • Portal Site (เช่นการสร้าง Learning Community)
    • Blog
    • Wiki
    • Chat
    • Instant Messaging เช่นผ่านทางโปรแกรม MSN
    • Threaded Discussion (ผ่านทาง Web Board)
    • VoIP (ผ่านทางโทรศัพท์ในรูปแบบ VoIP)
  • แบบ Multimedia: เช่นการทำ Video Streaming (เราอาจจะทำผ่านทาง YouTube ก็ได้) การทำ Podcasts การทำ Distance Learning เช่นการจัดรายการ TV ผ่านทางดาวเทียม หรือผ่านทาง DVD
  • แบบ Web-Based Learning: ไม่ว่าจะเป็นบน Internet หรือ Intranet ภายในองค์กร การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-paced Tutorials) ผ่านทางระบบ e-Learning หรือระบบ LMS การเรียรู้ผ่านสื่อแบบ Simulation หรือ Games
  • แบบ Performance Support: ที่เป็นแบบเน้นในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน คนเรียนสามารถเลือกเรียนเฉพาะหัวข้อที่ตัวเองสนใจ หรือช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องเรียนไล่ไปทีละหัวข้อ ๆ จนหมดทั้งวิชา รูปแบบแบบนี้เราสามารถทำได้โดยการทำ Knowledge Management (การบริหารจัดการองค์ความรู้) หรือในรูปแบบ Workflow Automation (คือการที่กำหนดกระบวนการทำงาน (Work Process) ให้ชัดเจน และอาศัยระบบ IT ช่วยในการจัดการ Workflow ของการทำงาน)
โดยในทางปฏิบัติ เราไม่จำเป็นต้องเลือกหรือใช้แค่รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในการจัดการการเรียนรู้ในองค์กร เราสามารถนำเอารูปแบบการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่หลากหลายมาผสมผสาน และประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับองค์กรของเรา (หรือที่เรียกว่าการทำ Blended Learning) เช่นจัดให้มีทั้ง Face to Face Classroom + DVD + LMS ก็สามารถทำได้ครับ แต่จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมว่าจะต้องผสมผสาน หรือเลือกรูปแบบการเรียนรู้แบบใดจึงจะเหมาะสมกับองค์กรของเราครับ
สำหรับแผนภาพดังกล่าวมาจากบริษัท Cognitive Design Solutions ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่http://www.cognitivedesignsolutions.com/ ครับ

No comments:

Post a Comment

like