โฆษณา

STEM Education ด้วย Social Media by kruweerachat

Saturday, January 2, 2016

การเรียนรู้ด้วยตนเองจากทฤษฎีการเชื่อมต่อ (Connectivism) จากนโยบายรัฐบาล สู่โรงเรียน ครู ห้องเรียน และนักเรียนจากนโยบายรัฐบาล สู่โรงเรียน ครู ห้องเรียน และนักเรียน

การเรียนรู้ด้วยตนเองจากทฤษฎีการเชื่อมต่อ (Connectivism)
จากนโยบายรัฐบาล  สู่โรงเรียน ครู ห้องเรียน และนักเรียนจากนโยบายรัฐบาล  สู่โรงเรียน ครู ห้องเรียน และนักเรียน

วีรชาติ มาตรหลุบเลา
          ห้องเรียน ณ เวลาปัจจุบัน ปลายปี 2558 ย่างเข้าสู่ปี 2559 สภาพแวดล้อมบางอย่างเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น รัฐบาลและท้องถิ่นได้สนับสนุนการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่องทุกปี เช่นในปีการศึกษา 2558 นี้ได้มีการสนับสนุนโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Dlit) จากโครงการนี้ได้มีการสนับสนุนการเรียนการสอนทั้งด้าน Solfware Hardware Peopleware และ Data  ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนในโครงการนี้ เช่น บริษัท กูเกิ้ล ประเทศไทย (Google App for education) บริษัทไมโครซอฟต์ประเทศไทย (Office 365 for education) บริษัทแอบเปิ้ล ประเทศไทย (iTunes U) ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Digital Economy ของรัฐบาลปัจจุบัน กิจกรรมการเรียนการสอนได้รับการสนับสนุนให้ใช้สื่อที่ทันสมัยนั้นเกิดกิจกรรมการเรียนการสอนขึ้นทั้งในรูปแบบออนไลน์และในรูปแบบออฟไลน์ จึงทำให้กิจกรรมการเรียนการสอนในปีนี้เริ่มมีเค้าโครงการเข้าสู่การเรียนรู้ในรูปแบบออนไลน์มากขึ้น  บทบาทในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูในชั้นเรียนจึงควรมีความหลากหลายสามารถเชื่อมต่อการเรียนรู้กับส่วนอื่น มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล มีความเป็นไปได้ มีความเหมาะสม  มีความถูกต้อง  เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
            การเรียนรู้ในปัจจุบันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในชั้นเรียนอีกต่อไป นักเรียนเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทั้งที่โรงเรียน ที่บ้านและทุกที่ที่ต้องการเรียนรู้ ด้วยการสังเกต การคิด การอ่าน การฟัง การพูด การตั้งถาม การค้นคว้า การแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งการเรียนรู้นี้อาจเกิดขึ้นในระดับกลุ่ม ระดับบุคคล หรือระดับองค์กร แต่การเรียนรู้นั้นต้องเกิดในระดับบุคคลก่อนจึงจะเกิดการเรียนรู้ระดับกลุ่ม และระดับองค์กร แต่เมื่อเกิดการเรียนรู้ขึ้นในระดับบุคคลแล้วอาจไม่เกิดการเรียนรู้ระดับกลุ่มหรือระดับองค์กร (Sange, 1990)  โดยในแนวคิดด้านการเรียนรู้อย่างเป็นระบบนี้มีนักทฤษฏีที่มีเชื่อเสียงหลายท่านได้เสนอแนวคิดการพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้ขึ้นหลากหลายแนวคิด เช่น มาร์คอร์ต และ โรโนล์ กล่าวถึงปัจจัยการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ 5 ปัจจัย ได้แก่ 1) การเรียนรู้ 2) องค์กร 3) บุคคล 4) ความรู้ และ 5) เทคโนโลยี  (Marquardt, & Raynolds, 2002, pp. 23-33)    ดังนั้น จึงควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเริ่มจากระดับบุคคล เช่น เริ่มที่ครู เริ่มที่ห้องเรียน เมื่อเกิดการเรียนรู้จึงจะเกิดการเชื่อมต่อองค์ความรู้ และเกิดความรู้ใหม่ ซึ่งเป็นความรู้ที่เปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ตามสถานการณ์ ตามปัจจัยหรือตามตามองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง  

          บทความการเรียนรู้ด้วยตนเองจากทฤษฎีการเชื่อมต่อ (Connectivism) จากนโยบายรัฐบาลสู่โรงเรียน ครู ห้องเรียน และนักเรียน นี้สนใจศึกษาการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองจากทฤษฎีการเชื่อมต่อ (Connegtivism) เช่น Youtube.com Facebook.com blog และสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ เขียนจากการศึกษาแนวคิดทฤษฏี เอกสารที่เกี่ยวข้อง สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนและการสัมภาษณ์ครู ที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การเรียนรู้ด้วยตนเองจากทฤษฎีการเชื่อมต่อ (Connegtivism)

          ทฤษฎีการเชื่อมต่อ Connectivism  (Siemens. 2004  อ้างถึงใน อนุสรณ์ หงษ์ขุนทศ .2558 ) ได้กล่าวถึงความหมายของทฤษฏีการเชื่อมต่อการเรียนรู้ในยุคดิจิตอล (แนวคิด Learning Theory for digital age. ) โดยมีใจความสำคัญว่า เมื่อมนุษย์มีการเชื่อมโยงถึงกันและสามารถค้นหาความรู้จากแหล่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็วทำให้ความรู้ที่มีอยู่นั้นอายุสั้นลง ความรู้ที่ทันสมัยในปัจจุบันกลายเป็นความรู้ที่ล้าสมัยในเวลารวดเร็วอันเนื่องมาจากเทคโนโลยีได้มีการเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ส่งผลให้มนุษย์จำเป็นที่จะต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต แนวคิดทฤษฏีการเชื่อมต่อจึงได้มีการให้คำจำกัดความและวางกรอบแนวคิดขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางสำหรับการเรียนรู้ในโลกดิจิตอลและอินเตอร์เน็ตที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สิ่งต่างๆเหล่านี้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของมนุษย์ในปัจจุบันซึ่งสื่อดิจิตอลและอินเตอร์เน็ตมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง อิทธิพลจากการใช้สื่อดิจิตอลและอินเตอร์เน็ตดังกล่าวจะส่งผลต่อการนำความรู้ที่ได้จากการเชื่อมต่อเพื่อพัฒนาแหล่เรียนรู้และสังคมต่อไป

อ่านต่อ ตามลิงค์นี้ครับ  https://web.facebook.com/l.php?u=https%3A%2F%2Fdrive.google.com%2Ffile%2Fd%2F0BzslMJIrSc1kT0pPbzZETXlwLUU%2Fview%3Fusp%3Dsharing&h=HAQGXgnpX&s=1

No comments:

Post a Comment

like