Digital Education การศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยเน้นการบริหารจัดการแบบเสริมพลังโดยชุมมีส่วนร่วม เพื่อเป็นบันทึกและแชร์ความรู้ประสบการด้านการบริหารจัดการโรงเรียน
โฆษณา
STEM Education ด้วย Social Media by kruweerachat
- ค่ำวันหนึ่งหลังจากฝนตก ฟ้าสลัวๆ ปรับกล้องแล้วหันมองขอบฟ้า - 9/25/2013 - kruweerachat
- รายงานประสิทธิภาพประสิทธิผลการปฏิบัติงาน ปีการศึกษา 2556 - 9/23/2013 - kruweerachat
- แนวข้อสอบ วิชาฟิสิกส์ ชั้น ม.4 เรื่องการเคลื่อนที่ - 7/15/2013 - kruweerachat
- แนวข้อสอบวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ชั้น ม.5 - 7/15/2013 - kruweerachat
- ประชุมโครงการประกวด Thailand Go Green 2556 - 6/30/2013 - kruweerachat
Monday, March 10, 2025
การวัดผลในการศึกษา: แนวคิด หลักการ และแนวทางปฏิบัติ
การวัดผลในการศึกษา: แนวคิด หลักการ และแนวทางปฏิบัติ
การวัดผลเป็นกระบวนการสำคัญในระบบการศึกษาที่ช่วยให้ครู ผู้บริหาร และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถประเมินพัฒนาการและผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนได้อย่างเป็นระบบ บทความนี้จะนำเสนอแนวคิดพื้นฐาน หลักการสำคัญ และแนวทางปฏิบัติในการวัดผลการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ
ความหมายและความสำคัญของการวัดผล
การวัดผล (Measurement) หมายถึง กระบวนการกำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์ให้กับคุณลักษณะของสิ่งต่างๆ ตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างเป็นระบบ ในบริบทการศึกษา การวัดผลจึงเป็นการกำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์ให้กับความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะของผู้เรียน
การวัดผลมีความสำคัญหลายประการ ได้แก่:
ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน
เป็นข้อมูลสำหรับปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร
ให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนเพื่อพัฒนาตนเอง
เป็นหลักฐานแสดงผลการเรียนรู้สำหรับการศึกษาต่อหรือการทำงาน
ช่วยในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา
หลักการสำคัญในการวัดผล
การวัดผลที่มีคุณภาพควรยึดหลักการสำคัญ ดังนี้:
1. ความเที่ยงตรง (Validity)
ความเที่ยงตรงหมายถึงการวัดในสิ่งที่ต้องการวัดได้ตรงตามวัตถุประสงค์ เครื่องมือวัดผลต้องสามารถวัดสิ่งที่ต้องการวัดได้อย่างครบถ้วนและตรงประเด็น ความเที่ยงตรงแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง และความเที่ยงตรงเชิงพยากรณ์
2. ความเชื่อมั่น (Reliability)
ความเชื่อมั่นหมายถึงความคงเส้นคงวาของผลการวัด เครื่องมือวัดผลที่มีความเชื่อมั่นสูงจะให้ผลการวัดที่คงที่เมื่อใช้วัดซ้ำในสภาพการณ์เดียวกัน การตรวจสอบความเชื่อมั่นอาจทำได้โดยวิธีการวัดซ้ำ การใช้แบบคู่ขนาน หรือการวิเคราะห์ความสอดคล้องภายใน
3. ความเป็นปรนัย (Objectivity)
ความเป็นปรนัยหมายถึงความชัดเจนในการตีความข้อคำถามและเกณฑ์การให้คะแนนที่ไม่ขึ้นกับความรู้สึกหรืออคติของผู้ตรวจ เครื่องมือวัดผลที่มีความเป็นปรนัยสูงจะทำให้ผู้ตรวจหลายคนให้คะแนนไม่แตกต่างกัน
4. ความสามารถในการจำแนก (Discrimination)
เครื่องมือวัดผลควรสามารถจำแนกความแตกต่างระหว่างผู้เรียนที่มีคุณลักษณะหรือความสามารถแตกต่างกันได้ ข้อสอบหรือแบบวัดที่ดีควรมีค่าอำนาจจำแนกที่เหมาะสม
5. ความเป็นประโยชน์ (Utility)
ผลการวัดควรสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในการพัฒนาการเรียนการสอนและการพัฒนาผู้เรียน ไม่ใช่เพียงการวัดผลเพื่อให้ได้คะแนนหรือเกรดเท่านั้น
ประเภทของการวัดผล
การวัดผลการศึกษาสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทตามเกณฑ์ต่างๆ ดังนี้:
แบ่งตามจุดมุ่งหมาย
การวัดผลก่อนเรียน (Pre-test) เพื่อตรวจสอบความรู้พื้นฐานของผู้เรียนก่อนเริ่มการเรียนการสอน
การวัดผลระหว่างเรียน (Formative Assessment) เพื่อติดตามความก้าวหน้าและปรับปรุงการเรียนการสอน
การวัดผลหลังเรียน (Post-test) เพื่อตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน
การวัดผลติดตาม (Follow-up Assessment) เพื่อติดตามผลในระยะยาวหลังจากสิ้นสุดการเรียนการสอน
แบ่งตามสิ่งที่ต้องการวัด
การวัดด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) วัดความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า
การวัดด้านจิตพิสัย (Affective Domain) วัดเจตคติ ค่านิยม ความสนใจ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์
การวัดด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) วัดทักษะการปฏิบัติและความชำนาญ
เครื่องมือในการวัดผล
การเลือกใช้เครื่องมือวัดผลควรพิจารณาให้เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด เครื่องมือวัดผลที่นิยมใช้ในการศึกษา ได้แก่:
1. แบบทดสอบ (Tests)
แบบทดสอบปรนัย เช่น เลือกตอบ ถูก-ผิด จับคู่ เติมคำ
แบบทดสอบอัตนัย เช่น ความเรียง แบบตอบสั้น
2. แบบสังเกต (Observation Forms)
เหมาะสำหรับการวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ การทำงานร่วมกัน และทักษะการปฏิบัติ
3. แบบสัมภาษณ์ (Interview Forms)
ใช้สำหรับเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความคิดเห็น เจตคติ และกระบวนการคิด
4. แฟ้มสะสมงาน (Portfolios)
รวบรวมผลงานของผู้เรียนที่แสดงถึงพัฒนาการและความสำเร็จในการเรียนรู้
5. แบบประเมินตนเอง (Self-assessment Forms)
ช่วยให้ผู้เรียนได้สะท้อนคิดและประเมินการเรียนรู้ของตนเอง
6. การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
วัดความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริงหรือสถานการณ์จำลอง
แนวทางการพัฒนาการวัดผลในศตวรรษที่ 21
การวัดผลในยุคปัจจุบันควรมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับทักษะและการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ดังนี้:
มุ่งเน้นการวัดทักษะการคิดขั้นสูง เช่น การคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา
บูรณาการเทคโนโลยีในการวัดผล เช่น การใช้ระบบการสอบออนไลน์ การวัดผลด้วย e-portfolio
เน้นการวัดผลตามสภาพจริง โดยใช้สถานการณ์ที่มีความหมายและเชื่อมโยงกับชีวิตจริง
ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวัดผล เช่น การประเมินตนเอง การประเมินโดยเพื่อน
วัดผลแบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ
ให้ข้อมูลย้อนกลับที่มีคุณภาพและทันเวลา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง
บทสรุป
การวัดผลเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ การวัดผลที่ดีต้องมีความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่น และสามารถนำผลไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนและพัฒนาผู้เรียนได้อย่างแท้จริง ในยุคที่การศึกษามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การวัดผลก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเรียนรู้และทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้การพัฒนาผู้เรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment