โฆษณา

STEM Education ด้วย Social Media by kruweerachat

Friday, August 24, 2012

กด Like กด Share ใน facebook กับการจัดการเรียนการสอนเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) สร้างพฤติกรรมการเรียนรู้

กด Like กด Share ใน facebook  กับการจัดการเรียนการสอนเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) สร้างพฤติกรรมการเรียนรู้

          เช้าวันใหม่ วันดี อีกหนึ่งวัน            ที่ผ่านผัน รวดเร็ว เหมือนความฝัน
          ที่ท้าทาย ที่สดใส กว่าเมื่อวาน       และเป็นฝัน อีกวัน ที่ก้าวเดิน



เมื่อวานหลังจากกลับมาจากอบรมปฐมนิเทศครูใหม่ แบตยังเต็มไฟยังแรงนั่งเขียนแผนการสอนต่อ แต่ยังไม่เสร็จ (เป็นอย่างนี้ตลอด พอท้ายๆ สมองจะวิ่งเข้า Youtube) ถ้าเขียนเอาให้เสร็จคงเสร็จไปแล้วนะครับ ก๊อบวางไม่ไช่เรื่องยากแต่ที่อยากปั้นแต่งกับแผนนี้นานๆหน่อยเพราะว่าแผนแรกสำคัญมากขั้นตอนบางอย่างเริ่มต้นจากตรงนี้ ผมอยากออกแบบแผนการสอนที่นำทฤษฎีต่างๆมาประยุกต์ใช้ และตอบโจทย์บริบททางการศึกษาหลายๆด้านเช่น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมวัฒนธรรม คุณธรรม และสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของการเรียนรู้ซึ่งตัวสุดท้ายนี้สำคัญมาก  และยังต้องการใช้ Social Media และ Social Network อย่างเช่น Facebook และ Youtube เข้ามาร่วมกับการสอนในชั้นเรียน ให้ส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เป็นแบบการศึกษาตามอัฒยาศัย( Informal Education) สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา Any one  - Any where - Any Where ที่เขียนเอาไว้แบบสวยหรู แต่ผมอยากให้เป็นความจริงที่สุด ไม่ไช่เป็นแค่ฝัน แต่พอมองเห็นแนวโน้มที่กำลังมาพร้อม 3G และ Tablet ที่ราคาต้นทุนถูกลงจนขยับเข้ามาใกล้ความเป็นจริงทุกวัน แต่วันนี้แผนการสอนที่ผมใช้ยังไม่สมบูรณ์พร้อมที่จะรองรับบริบททางการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ได้ อุปกรณ์ สื่อการสอน และอินเตอร์เน็ตก็ยังใช้งานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ มีงานที่ต้องเครียร์อีกหลายอย่าง ถ้ารอให้ครบร้อยแล้วค่อยทำ เกิดอีกสามรอบก็คงไม่ได้ทำ สรุปว่า ทำที่มีให้เต็มที่ ดีกว่านะครับ
              เมื่อวานหลังจากรวบรวมข้อมูลและเขียนบล๊อกกันลืมไว้ที่  การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน หลักสูตรแกนกลาง 2551 
เช้าวันนี้มาต่ออีกสักนิดครับกับหัวข้อในวันนี้ กด Like กด Share ใน facebook  กับการจัดการเรียนการสอนเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) สร้างพฤติกรรมการเรียนรู้  วันนี้เสร็จไปแล้วหลายหัวข้อแต่ยังเหลือตอนท้ายที่สำคัญคือการวัดและประเมินผล ซึ่งปกติ วัด ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า   แต่มีความท้ายทายนิดหน่อยตรงที่ จะทำให้มันเป็น กึ่งๆ การศึกษาตามอัฒยาศัย( Informal Education)  ผสมกับ Social Media และ Social Network  ตอบโจทย์ การศึกษาในทศวรรษที่ 21 พร้อมกัยการจัดการความรู้ (KM) เพื่อนำไปใช้ในการทำ IS  ถ้าทำได้สมบูรณ์แบบตามที่เขียนไว้ผมจะมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกมากมาย


แผนที่ออกแบบไว้คร่าวๆครับ



ใครว่างช่วยเขียนด้วยนะครับ





ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง กับการเรียนการสอน

การเสริมแรง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การเสริมแรง (อังกฤษ: Reinforcement) คือการทำให้ความถี่ของพฤติกรรมเพิ่มขึ้น อันเป็นผลเนื่องมาจากผลกรรมที่ตามหลังพฤติกรรมนั้น

เนื้อหา

ประเภทของการเสริมแรง

ประเภทของการเสริมแรง

  1. การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) หมายถึง สิ่งของ คำพูด หรือสภาพการณ์ที่จะช่วยให้พฤติกรรมเกิดขึ้นอีก หรือสิ่งทำให้เพิ่มความน่าจะเป็นไปได้ของการเกิดพฤติกรรม
  2. การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) หมายถึง การเปลี่ยนสภาพการณ์หรือเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็อาจจะทำให้บุคคลแสดงพฤติกรรม ได้ การเสริมแรงทางลบเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมใน 2 ลักษณะคือ
    1. พฤติกรรมหลีกหนี (Escape Behavior)
    2. พฤติกรรมหลีกเลี่ยง (Avoidance Beh.)

หลักการและแนวคิดที่สำคัญของการเสริมแรง

  1. การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการเสริมแรง การเสริมแรงทางบวกจะดีกว่าทางลบ
  2. การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความใกล้ชิดระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง
  3. การเสริมแรงมีหลายวิธี อาจใช้วัตถุสิ่งของ หรือถ้อยคำที่แสดงความรู้สึกก็ได้ ที่สามารถสร้างบรรยากาศกระตุ้นให้ความพึงพอใจให้เกิดความสำเร็จหรือเครื่อง บอกผลการกระทำว่าถูกผิด และอาจเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเสริมแรงต่อๆ ไป
  4. การเสริมแรงควรจะต้องให้สม่ำเสมอ นอกจากนั้นหลักการเสริมแรงยังทำให้สามารถปรับพฤติกรรมได้
  5. ควรจะให้การเสริมแรงทันที ที่มีการตอบสนองได้อย่างถูกต้อง ซึ่งควรจะเกิดขึ้นภายใน ประมาณ 10 วินาที ถ้าหากมีการตอบสนองที่ต้องการซ้ำหลายครั้งๆ ก็ควรเลือกให้มีการเสริมแรงเป็นบางคราว แทนที่จะเสริมแรงทุกครั้งไป
  6. ควรจะจัดกิจกรรมการเรียนให้เป็นไปตามลำดับจากง่ายไปยาก และเป็นตอนสั้นๆ ที่สอดคล้องกับความสามารถของผู้เรียน
จากการวิจัยเกี่ยวกับการเสริมแรง สกินเนอร์ได้แบ่งการให้แรงเสริมเป็น 2 ชนิดคือ
  1. การเสริมแรงทุกครั้ง คือการให้แรงเสริมแก่บุคคลเป้าหมายที่แสดงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ทุกครั้ง
  2. การเสริมแรงเป็นครั้งคราว คือไม่ต้องให้แรงเสริมทุกครั้งที่บุคคลเป้าหมายแสดงพฤติกรรม

สรุปแนวคิดที่สำคัญ

สรุปแนวคิดที่สำคัญของนักจิตวิทยาการศึกษา ดังนี้
  1. ธอร์นไดค์ (Thorndike) ให้ข้อสรุปว่า การเสริมแรง จะช่วยให้เกิดความกระหายใคร่รู้เกิดความพอใจ และนำไปสู่ความสำเร็จ
  2. สกินเนอร์ (Skinner) กล่าวว่า "การเสริมแรง จะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมซ้ำ และพฤติกรรมของบุคคลส่วนใหญ่ จะเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้แบบปฏิบัติ (Operant Learning) และพยายามเน้นว่า การตอบสนองต่อสิ่งเร้าใดๆ ของบุคคล สิ่งเร้านั้นจะต้องมีสิ่งเสริมแรงอยู่ในตัว หากลดสิ่งเสริมแรงลงเมื่อใด การตอบสนองจะลดลงเมื่อนั้น"
  3. กัทธรี (Grthrie) เชื่อว่าการเรียนรู้ จะเป็นผลมาจากสิ่งเร้าและการตอบสนองซึ่งเมื่อเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน สิ่งเร้าทุกอย่างย่อมจะมีลักษณะที่เร้า และก่อให้เกิดพฤติกรรมได้ทั้งหมด ดังนั้นการเสริมแรงไม่จำเป็นต้องนำมาใช้สำหรับการตอบสนอง
  4. ฮัล (Hull) เชื่อว่า การเสริมแรงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง ม่มีการเรียนใดๆ ที่มีความสมบูรณ์ การเรียนรู้เป็นลักษณะของการกระทำที่ต่อเนื่องกัน จะค่อยๆ สะสมขึ้นเรื่อยๆ การเสริมแรงทุกครั้งจะทำให้การเรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ตารางการเสริมแรง

  1. การเสริมแรงตามอัตราส่วนที่แน่นอน (Fixed-Ratio (FR))
  2. การเสริมแรงตามอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน (Variable-Ratio (VR))
  3. การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่แน่นอน (Fixed-Interval (FI))
  4. การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน (Variable-Interval (VI))

วิธีการเสริมแรง

  1. การเสริมแรงแบบทุกครั้ง เช่น การเสริมแรงเกิดขึ้นทุกครั้งที่เด็ก ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร
  2. การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่แน่นอน เช่น การเสริมแรงทุกๆ 1 ชั่วโมงหลังจากทำพฤติกรรมไปแล้ว
  3. การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน เช่น บางทีก็ให้เสริมแรง 1 ชั่วโมง บางทีก็ให้เสริมแรง 2 ชั่วโมง
  4. ครั้งที่แน่นอน เช่น แสดงพฤติกรรมออกกำลังกาย 3 ครั้ง ให้การเสริมแรง 1 ครั้ง
  5. การเสริมแรงตามจำนวนครั้งที่ไม่แน่นอนหรือแบบสุ่ม (Random) คือ บางครั้งก็ให้การเสริมแรง บางครั้งก็ไม่ให้การเสริมแรง

No comments:

Post a Comment

like